เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒

๒๕ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์พระ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ต้นไม้ ป่าไม้ มันมีไม้หลายชนิด ไม้บางชนิดเห็นไหม ดูอย่าง เช่นไม้ที่มันเป็นยา มันจะขมมาก เห็นไหม บอระเพ็ดจะขมมาก แต่มันเอามาเป็นยาได้ประโยชน์มาก แล้วบางอย่างเป็นไม้ที่ใช้ประโยชน์ บางอย่างใช้ไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้ามันคลุมไปในป่านั้น มันเป็นประโยชน์หมด เพราะป่ามันอาศัยกัน สิ่งที่ป่ามันอาศัยกัน มันถึงเป็นป่า มันถึงดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน มันถึงไม่สูญพันธุ์ของมันไปได้ ถ้ามันชุ่มชื้น

สังคมของเรา สังคมของสังฆะ เราบวชมาเพื่ออะไร สังคมของพระ เวลาบวชแล้วมาจากตระกูลต่างๆ กัน เวลาบวชแล้วนี่เสมอกันโดยศีล เราเสมอกัน เราเป็นสมมติสงฆ์ สงฆ์นี่เสมอกันด้วยศีล ๒๒๗ อุปัชฌาย์อาจารย์ บวชมายกเข้ามาในหมู่ เป็นหมู่แล้วมันก็เหมือนป่าหนึ่ง มันเหมือนประเทศหนึ่ง สังฆะ เราต้องดูแลกัน เราต้องช่วยเหลือกัน ถึงคราวหนึ่ง เราจะต้องกลับมาถึงธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ออกไปกับโลก

ถ้าเราอยู่ไปอย่างนี้แล้วเราไม่มีผู้นำ เราอยู่กันประสาเราว่าเหมือนเด็กมันอาศัยกัน มันก็เกาะกันอยู่อย่างนั้น มันจะเลี้ยงชีวิตกันรอดได้อย่างไร มันต้องมีพ่อแม่ให้พึ่งพาอาศัย เราก็มีครูบาอาจารย์อาศัย ครูองค์แรกคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เป็นครูอาจารย์ของเรา เราอย่าน้อยเนื้อต่ำใจ ชีวิตของเรา ดูเขาเกิดมา ดูสิอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อดำรงชีวิตของเขา ชีวิตอย่างนั้นใครจะใช้ก็ได้ เราเกิดมามีสิทธิเสมอภาค

สังคมสงฆ์เกิดมาโดยบุญกุศลมาก เกิดในสังคมของชาวพุทธ เพราะสังคมชาวพุทธ มีการออกบวช ออกบวชเพื่ออะไร เพื่อแสวงหา สังคมให้โอกาสหมดเลย สังคมจะไม่ยุ่งกับเราเลย เพียงแต่ถ้าเรารักษาเกียรติของพระ เขาจะไม่เข้ามาก้าวล่วงเรา แต่ถ้าเราไปยุ่งกับเขา เราทอดสะพานออกไป

ดูสิ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าประทุษร้ายสกุล ทั้งสกุลของเราด้วย สกุลของสมณะ มันทำให้เขาไม่ให้ความเคารพถึงใจ สกุลของเราด้วย สกุลของสมณะด้วย สกุลของเขาด้วย เพราะอะไร เพราะถ้าเขาเคารพ ดูสิ ดูประเพณีวัฒนธรรมของทางอีสาน ผู้หญิงจะไม่ให้เข้ามายุ่งเลย ห้ามขึ้นในที่ต่างๆ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเขาเคารพจากประเพณีวัฒนธรรมของเขา เขาเคารพในสกุลของเขา เพราะศาสนาของเขา เขาเป็นคฤหัสถ์ไง บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม อุบาสก อุบาสิกา เขาก็มีสิทธิ์ของเขา

แต่ขณะที่ออกมาเป็นพันธุ์ไม้เห็นไหม ไม้ต่างชนิด คุณสมบัติมันก็ต่างกัน ประโยชน์ก็ต่างกัน ดูเห็ดสิ เห็ดมันเกิดชั่วคราวเห็นไหม เดี๋ยวมันก็สลายตัวกันไป แต่ถ้าเขาเก็บทัน เขาก็เอามาทำอาหารได้ นี่เหมือนกัน โอกาสของแต่ละคนมันก็แค่นั้น โอกาสเห็นไหม เราวนมาเจอกัน เราก็แยกจากกัน ผลของวัฏฏะเหมือนสวะเลย ลอยน้ำมา มาถึงก็ชนกัน แล้วแยกออกจากกัน นี่คือผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายของเรา

ดูสิ ถ้าบวชในพรรษาหนึ่ง เรามีวาสนาแค่นี้ เราลาบวชได้ ๓ เดือน ชั่วคราวแป๊บเดียว อุโบสถทีแรก เดี๋ยวก็อุโบสถที่ ๒ ครบ ๖ อุโบสถก็ออกพรรษา ออกพรรษาก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิม แต่ขณะที่อยู่ใน ๓ เดือน เราจะสร้างโอกาสของเราขนาดไหน สวะลอยมาชนกัน ถ้ามันเกาะกันไปดี มันพาไปดี ถ้าทวนกระแสน้ำ ปลาเป็นมันจะทวนคลื่นกระแสน้ำไป ถ้าเราปล่อยเป็นปลาตาย ปลาตายมันเวียนไปตามน้ำ ไหลไปตามน้ำ

นี่ก็เหมือนกันชีวิตของเรา เราบวชมา ชีวิตทางโลกเราก็ใช้มาแล้ว ในสิ่งที่เป็นทางโลก แล้วทางธรรมล่ะ วิมุตติสุข สุขอันประเสริฐ ประเสริฐมาจากไหน สุขของเขานะ เขาได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง คือความสุขของโลกนะ แต่ทางธรรมของเราเห็นไหม ถ้าเราไม่เป็นจิตตั้งมั่น จิตเราไม่ตั้งมั่นมันก็ฟุ้งซ่านไป มันฟุ้งซ่านไปในอะไร มันก็ในรูป รส กลิ่น เสียง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แต่ทางโลกนี้เขาพอใจ เขาพอใจในบ่วงของมารเอง เขาติดบ่วงของมารนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ เทศน์ปัญจวัคคีย์ และยสะ ๖๑ องค์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งเสียนะ เราเป็นผู้ที่พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์และบ่วงที่เป็นโลก ทั้งบ่วงของทิพย์ด้วย ของทิพย์คือบ่วงที่ว่าเกิดบนสวรรค์ เป็นอินทร์ เป็นพรหมนั้นก็เป็นบ่วงอันหนึ่ง คนเขาสนใจกันในลัทธิต่างๆ ที่เจ้าลัทธิเขาไปได้แค่นั้น อย่างมากไปได้แค่พรหม ถ้าจิตสงบแล้วไปได้แค่พรหมนะ ติดถึงพรหมแค่นั้นเอง แล้วไปอยู่นานเข้า เขาก็ว่านี่คือนิพพานของเขา

นิพพานของเขาคือว่าไม่มีความรู้สึกไง ตอนเป็นพรหมมันเป็นอนิจจังอยู่ มันเป็นไตรลักษณ์อยู่ มันเป็นวัฏฏะอยู่ ก็ยังคิดว่ามันเป็นนิพพาน นี่สุขของเขาทำได้เท่านั้นเอง แล้วสุขของเราล่ะ ถ้าจิตมันตั้งมั่น บ่วงของมารเราพยายามดับให้ได้ ตั้งสติมันจะผ่านบ่วงอันนี้ไป ดูเขาดักสัตว์กันในป่า มันมีบ่วง มีแร้วนี่ มันก็ดักสัตว์ได้ เขากักสัตว์ได้ ถึงกับเสียชีวิตนะ บ่วงของมารจะทำให้เราเสียกับเพศนะ ถ้าเราทนสิ่งนี้ไม่ไหว เราก็เสียสิ่งนี้ออกไป มันไม่ถึงกับตาย แต่มันก็อยู่ในโลกของเขา

แต่ถ้าเรากำหนดหัวใจของเราได้ มันไม่พ้นนะ มันไม่ติดบ่วง มันไม่ติดบ่วงมันก็ผ่านจากบ่วงเข้าไป มันก็เป็นความสงบ ความสงบเฉยๆ บ่วงของโลก บ่วงของทิพย์ เราก็พยายามใช้ปัญญาเราแก้ไข ถ้าเป็นบ่วงของทิพย์ บ่วงของทิพย์มันติดไง เราติดปัญญาของเรา เราติดความเห็นของเรา เราไม่เข้าใจ มันก็ติดในบ่วงที่เป็นทิพย์ สิ่งที่เป็นทิพย์ ความสุขอย่างนี้มันจะเกิดมาจากไหน

โลกเขาเป็นไปประสาของเขา ย้อนไปดูความเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วก็ตายไปนะ อยู่อย่างนี้แล้วก็ต้องตายไป แล้วก็เกิดตาย เกิดตาย โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ตัวของเขาเลย เชื่อก็เชื่อโดยลอยๆ ไม่เชื่อแบบพวกเรา พวกเราเป็นนักบวชเห็นไหม ความรู้สึกมันสัมผัสได้ที่ใจ สันทิฏฐิโก เราอยู่ในสังคมของพระ สังคมของครูบาอาจารย์เรา ไปภาวนาในป่าประสบสิ่งใดมาบ้าง สิ่งที่ประสบมานี้ พูดไปใครจะเชื่อ วงกรรมฐานจะเชื่อในวงกรรมฐาน เพราะวงกรรมฐานได้สัมผัสจริง วงกรรมฐานเข้าไปสัมผัสไม่ได้สัมผัสจากตำรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นพุทธวิสัย ไม่มีใครมีปัญญาเหนือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาโลกธรรม ๘ ก็ไม่มีใครถูกกระทบแรงเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไปศึกษาแล้วเห็นไหม ไปศึกษาจากตำรา ไปศึกษาจากสัญญา จากภายนอก มันไม่ซึ้งใจเห็นไหม แต่ในวงกรรมฐานของเราศึกษาจากการประพฤติปฏิบัติ ศึกษาจากประสบการณ์ตรงของตน ใครทำจิตของตัวเองให้สงบได้เห็นไหม

อยู่กับครูบาอาจารย์แต่จิตไม่เคยสงบเลย เวลาไปถามปัญหาขึ้นมาก็พูดแบบนอกเรื่องนอกทางไป มันไม่ซึ้งใจหรอก แต่ถ้าเราเคยสงบขึ้นมานะ พูดถึงความสงบเป็นอย่างไร จิตมันจะมีสติเข้ามาขนาดไหน จิตสงบเข้ามาเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันสักแต่ว่ารู้ จิตมันสักแต่รู้ว่าอย่างไร มันมีความเห็นเป็นอย่างไรมันเป็นไปผ่านนิมิตหรือไม่ผ่านนิมิตเห็นไหม ผ่านความเห็นหรือไม่ผ่านความเห็น มันสงบเข้ามาแล้ว แล้วมันเสื่อมถอยออกมา มันเป็นอย่างไร สิ่งนี้มันหลอกกันไม่ได้หรอก

ในสังคมการปฏิบัติของเรา มันจะมีของจริงอยู่ แล้วถ้าเราอยู่กับของจริงเห็นไหม ผู้ที่นำทาง ผู้ที่จะพาเราขึ้นฝั่งไง สิ่งที่จะพาขึ้นฝั่งมันต้อง ดูสิ ดูเวลาเขาเห่เรือกัน เขาต้องฝึกซ้อมกันเป็นปีเป็นเดือน แล้วก็ส่งต่อกันมาเป็นรุ่น เป็นรุ่นมา ต้องได้ผ่านพิธีกรรมมาต่างๆ มันจะมีความชำนาญของเขา กำหนดเวลาได้เลยว่าโค้งนั้นเข้าอย่างนั้น ฝีพายอย่างนั้น น้ำเอื่อยขนาดไหนก็เป็นไปได้ ความเป็นไปได้ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าคนที่ผ่านการกระทำมาแล้ว มันจะบอกได้หมด

เราติดของเรา บ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงคือความเห็นของใจ บ่วงคือกิเลส กิเลสที่มันไปติดว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม มันไม่เป็นหรอก มันไม่เป็นเพราะอะไร เพราะมันยังติดบ่วงอยู่ แต่ถ้ามันปลดบ่วงล่ะ จะปลดบ่วงมันก็ต้องมีการกระทำของมันนะ มันวิธีการของมัน เราไม่เอาวิธีการเป็นเป้าหมาย วิธีการเห็นไหม การกระทำอยู่เช่นอดอาหาร เช่นทำความสงบของใจ อุบายวิธีการมันเป็นวิธีการที่จะก้าวเดินเข้าไปสู่เป้าหมาย

นี่ก็บ่วงเหมือนกัน บ่วงขณะที่มีวิธีการ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ที่ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม ดูสิพระไตรปิฎกบอกไว้นี้ถูกต้องหมด เราก็ทำตามพระไตรปิฎกนี้ อย่างนี้ถูกต้องหมด มันเป็นพิธีการทั้งนั้นแหละ พิธีการเพราะอะไร เพราะในพระไตรปิฎกบอกไว้แต่วิธีการ บอกไว้แต่เหตุไง แต่เวลาเป็นผล นิพพานเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร ในพระไตรปิฎกบอกว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่เวลาพูดกับคฤหัสถ์ ถามว่านิพพานเป็นอย่างไร องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็อธิบาย อธิบายเหมือนคนรู้ไง

อย่างเช่น เราไม่เคยลงไปในทะเลเลย ในทะเลมันมีปะการัง มันมีสิ่งใด คนที่ดำไปในปะการัง จะบอกว่า ปะการังมันจะสวยอย่างนั้น มันมีปลาพันธุ์นั้น อยู่ในใต้ท้องทะเลนั้น น้ำลึกขนาดไหน น้ำใสขนาดไหน มันจะมีความสุขขนาดนั้น สิ่งนี้ก็เป็นไปเพราะคนเห็น นี่เหมือนกันครูบาอาจารย์จะชี้นำอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นมาหมดรู้มาหมด แล้วบางอย่างยังไม่พยากรณ์อีกต่างหากนะ ไม่พยากรณ์เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพยากรณ์แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นกับจริตนิสัย เป็นกับพันธุ์ไม้ในป่า พันธุ์ไม้ในป่าหมายถึงหัวใจของเรา จิตของเราแต่ละดวง ก็คือพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่ง จิตชนิดหนึ่งประเภทหนึ่ง คือการกระทำก็ต้องตรงกับพันธุ์ไม้นั้น บางคนนุ่มนวล บางคนแข็งกระด้าง มันเป็นเพราะการสร้างสมมา สิ่งนี้มันเป็นพื้นฐานเห็นไหม ถ้าจิตสงบขึ้นมา มันจะดัดแปลงพื้นฐานอันนี้เข้ามา

แล้วถ้าจิตมันมีอำนาจวาสนาของมัน มันจะวิปัสสนาของมันเข้าไป วิธีการนี้มันไม่เหมือนกันสักอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย การทำงานของเขา ดูอย่างเชิงช่าง ในการสร้างศาลา สร้างกุฏิหลังหนึ่ง สุดท้ายแล้วมันต้องเป็นแปลนแบบนั้น จะมีวิธีการอย่างไรก็ต้องเป็นแบบนั้น แต่จิตไม่เป็นอย่างนั้นเลย จิตมันมีการกระทำ กระทำเหมือนกัน สร้างจิตเหมือนกัน แต่การกระทำไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะอะไร เพราะความเป็นไปไม่เหมือนกัน เพราะวัสดุที่เอามาใช้ไม่เหมือนกัน

การสร้างนี้ใช้วัสดุอย่างหนึ่ง วิธีการก็เป็นอย่างหนึ่ง ออกมาเป็นกุฏิเหมือนกัน นี่ก็เหมือนกัน จิตดวงหนึ่ง กิเลสอย่างหนึ่ง ทิฏฐิมานะอย่างหนึ่ง การกระทำออกมาเพราะวัสดุไม่เหมือนกัน ความเป็นไปไม่เหมือนกัน เราถึงต้องวิปัสสนาของเรา แต่มันไม่พ้นจากกรอบของสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม กายนอก กายใน

กายโดยปัญญาวิมุตติ ใช้ปัญญาใคร่ครวญไป

กายโดยเจโตวิมุตติ จะเห็นภาพของกาย เห็นภาพของวิปัสสนากายต่อไป

วัสดุไม่เหมือนกัน การประกอบกันออกมาเป็นกุฏิ ที่มีการกระทำไม่เหมือนกัน แต่ผลสุดท้ายตอบสนองต้องเหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกัน เหมือนกันเพราะอะไร เพราะมันสร้างเป็นกุฏิ ดูสิ ดูกุฏิวิหารแต่ละหลังเห็นไหม ทรวดทรงแล้วแต่เขาจะออกแบบอย่างไร แต่เป็นที่พักอาศัยเหมือนกัน

จิตของเราก็เหมือนกัน อำนาจวาสนามาก อำนาจวาสนาน้อยไง พระอรหันต์แต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน พระอรหันต์แต่ละองค์มีฤทธิ์มีเดช บางองค์เป็นเจโตวิมุตติ หรือเป็นปัญญาวิมุตติมันก็ไม่เหมือนกัน ออกปฏิบัติเหมือนกัน แต่กุฏิเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนกันไง ความสิ้นกิเลสต้องเหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกันจะตรวจสอบกันได้อย่างไร จะเป็นไปอย่างนั้นได้อย่างไร มันต้องเป็นไปอย่างนั้น มันตรวจสอบกันได้ เพราะถ้ายังไม่ผ่าน

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาถาม ธมฺมสากจฺฉา ปล่อยวางขนาดนั้น แล้วต่อไปละ แค่นี้หรือครับนิพพาน ขณะที่องค์หนึ่งบอกแล้วต่อไปล่ะ คำว่าต่อไป มันยังมีตายอีกนะ สร้างกุฏิมาเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้มุงหลังคา แล้วบอกว่ากุฏิเสร็จได้อย่างไร องค์หนึ่งบอกว่ากุฏิเสร็จ แต่ยังไม่มีหลังคา พอบอกว่า แล้วทำต่อไปอย่างไร เสร็จแล้วครับ กุฏิเสร็จแล้วครับ แต่กุฏิยังไม่มีหลังคา

ถ้ามีหลังคาเรือนยอดของมารไง เรือนยอดของมาร เรือนสามหลัง เรือนยอดของมารเป็นอย่างไร นางตัณหา นางอรดีเห็นไหม ความโลภ ความโกรธ ตัณหาปล่อยวางหมด ปล่อยวางธาตุขันธ์มาหมดเลย ปล่อยมาหมดแล้ว แล้วต่อไปล่ะ ต่อไปบอกจบแล้ว แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็น ต่อไปเห็นไหม ตัวผู้รู้ ตัวอวิชชา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้มันผ่องใสเพราะธรรมชาติของมัน

แต่พวกเรานี่จิตขุ่นมัว จิตขุ่นมัวเพราะอะไร เพราะมันมีตะกอนไง พอมีตะกอนขึ้นมาเห็นไหม ดูจิตสิ มันมีอาการของใจ ตัวใจ ตัวอาการของใจ วิปัสสนามามันจะปล่อยมาเรื่อยๆ ขาดมาเรื่อยๆเป็นชั้นเป็นตอน ปล่อยหมดเลยนี่ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส สิ่งที่มันผ่องใสไม่ได้ มันไม่เป็นตามความผ่องใส ถ้าผ่องใสโดยปุถุชน ก็ผ่องใสโดยจิตรวมใหญ่ ถ้าจิตรวมใหญ่ยังสว่างหมด ผ่องใสหมดเลย จิตรวมใหญ่อย่างนี้ มันรวมใหญ่โดยกดกิเลสไว้ แต่ถ้ามันถึงเรือนยอดนั้น มันจะใสอยู่อย่างนั้นตลอดไปเลย มันใสอยู่อย่างนั้น ใสจนติดได้ว่านี่คือนิพพาน

ถ้ามันไม่ใสมันไม่ดี จะติดได้อย่างไร เพราะมันติด มันว่ามันเป็นนิพพาน เพราะมันว่างหมด มันใสหมด นี่คือสร้างกุฏิเสร็จแต่ยังไม่ได้มุงหลังคา

ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรม ครูบาอาจารย์ท่านเป็นอย่างนี้ สันทิฏฐิโกในวงปฏิบัติเรา ในวงปฏิบัติมีครูมีอาจารย์นะ ถ้าอยู่ในวงปฏิบัติมา มันต้องเหมือนกัน มันถึงตรวจสอบกันได้ จะไม่บอกว่าจะเป็นอย่างนั้น บอกไม่ได้ บอกไม่ได้ คำว่าบอกไม่ได้เหมือนกับสัญชัยไง ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่รู้ ไม่ใช่ อย่างนั้นมันเป็นธรรมหรือ

คนเราที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วพูดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เขาบอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนไม่ได้ สอนได้ สอนได้แน่นอน สอนได้ด้วยขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่สอนได้ แต่การจะวางเป็นทฤษฎี ต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการสร้างวาสนาบารมีมันต่างกัน ปัญญามันต่างกัน ดูสิ พุทธวิสัยกว้างขวางขนาดไหน พระปัจเจกพุทธเจ้ามีไม่ถึงกับพุทธวิสัยเพราะอะไร เพราะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่สอนตัวเองได้ รู้ได้ เพราะในสมัยก่อน ในพระไตรปิฎกบอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพันๆ องค์ก็มี ที่จำพรรษาด้วยกันเห็นไหม ถึงคราวหนึ่ง ถ้าไม่มีศาสนาสิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาไม่ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นมาเพราะอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล เราเกิดมาแล้ว ในท่ามกลางพุทธศาสนา กรรมฐานเรากำลังเจริญรุ่งเรือง เพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติมีคนสนใจ เพราะการประพฤติปฏิบัติเหมือนเงินแท้เลย พอมีเงินแท้มันก็มีเงินเทียม เพราะมีครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เป็นของแท้ขึ้นมา เป็นผู้ที่บากบั่นออกมา สิ่งนี้ออกมาก็มีของเทียม

ของเทียมนะ ในวงกรรมฐานนี่พิสูจน์ง่ายๆเลย เราปฏิบัติเรารู้จริงแล้วเอาธรรมะนี่ถาม เอาความเห็นของเรานี่ถาม จะตอบไม่ถูกหรอก ตอบไม่ถูกเพราะอะไร เพราะคนตาบอด จะเป็นตาบอดคลำช้างเด็ดขาด ถ้าตาบอดคลำช้างจะไม่กล้าพูดสิ่งใดเลย พูดออกไปนี่มันจะมีแต่ความผิด เราจะรู้ได้แค่ไหน ถ้าเราตาสว่างขนาดไหน เราจะรู้ได้แค่นั้น สิ่งนี้มันถึงว่าธัมมสากัจฉา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราต้องพึ่งพาอาศัยในธรรมวินัย ถ้าเราอยู่ในหมู่คณะ ธรรมวินัยนี้เหมือนกับดอกไม้ ดอกไม้ถ้ามีด้ายร้อยเป็นพวงมาลัย

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติเรานี่เหมือนดอกไม้ อย่าทิ้งนะ ข้อวัตรปฏิบัติมันจะบอกถึงนิสัย ถึงความรักหรือไม่รักในธรรมวินัย ถ้ารักในธรรมวินัย สิ่งนี้มันเป็นเครื่องวัด ดูข้าราชการเขาสิ เขายังมีกฎระเบียบของเขา ถ้าทำผิดกฎระเบียบ เป็นอันว่าผิดในการประพฤติปฏิบัติของเขา ของเราก็ต้องมีธรรมวินัย ธรรมวินัยของเรานี้ต้องพยายามรักษาไว้ รักษาไว้นะ เพราะอะไร เพราะจิตบางทีมันแบบตกตะกอนไง มันมีเจริญ มีเสื่อม ถ้าเราเสื่อม มันจะไม่ยอมทำ มันเบื่อของมัน

ถ้าเบื่อของมัน ข้อวัตรนี่มันจะชำระตรงนี้ได้ เหมือนคนเราเวลาตื่นนอนขึ้นมา มันง่วงเหงาหาวนอน ดูคนมันง่วงนอน อย่างเช่นคนขับรถเห็นไหม ถ้าหลับในจะประสบอุบัติเหตุนะ จิตก็เหมือนกันเวลามันหลับใน มันไม่ต้องการทำสิ่งใดเลย ข้อวัตรปฏิบัติมันจะช่วยได้ ข้อวัตรปฏิบัตินี่มันจะช่วยให้เราไม่นอนจมไง มันทำให้เราเคลื่อนไหวตลอดเวลา จิตที่มีการเคลื่อนไหวไป มันจะไม่กดถ่วงตัวเองนะ ข้อวัตรปฏิบัติมีประโยชน์มาก มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของเรา

เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่กับลูกศิษย์ลูกหา ท่านบอกเลย เดี๋ยวมันจะไม่มีข้อวัตรติดหัวมันเห็นไหม ให้มันมีข้อวัตรติดหัวมัน ฝึกนะ เพราะในสมัยนั้นผู้ที่เป็นมือเป็นเท้าของหลวงปู่มั่นยังน้อยอยู่ หลวงปู่มั่นต้องฝึกพระเอง องค์หนึ่งอยู่ ๓ - ๔ ปีแล้วออกไป เปลี่ยนมา เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนมาเพื่อให้สิ่งนี้เป็นสายเลือดของเรา เป็นสายเลือดของกรรมฐาน เอาข้อวัตรปฏิบัตินี้คอยควบคุมอย่าให้ใจมันหดหู่ ถ้าใจมันจะหดหู่มันจะไม่ยอม มันจะจำนนกับกิเลสนะ

ข้อวัตรปฏิบัติก็เป็นการขวนขวายเหมือนการต่อลมหายใจ ออกซิเจน ให้ลมหายใจกับผู้ป่วย จิตมันป่วยจิตมันไม่สู้ ก็เอาข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นที่อาศัยไป อย่างทิ้งข้อวัตร รักษาไป จะเบื่อหน่าย จะจำเจอย่างไรก็ทำ ยิ่งการจำเจ ดูสินักกีฬา เวลานักกีฬาเขาต้องฝึกซ้อม การฝึกซ้อมเขาทำจำเจมาก เขาฝึกซ้อมขึ้นมาเพื่อสติของเขา เพื่อความเห็นของเขา เราเป็นนักบวช เราจะพ้นจากกิเลสนะ เราจะชำระกิเลส เราจะสู้กับตัวเราเอง

ฉะนั้นสิ่งนี้มันเป็นการฝึกซ้อมเรา ข้อปฏิบัตินี้ให้ฝึกซ้อม ถึงเวลาให้ทำ ให้หัวใจเหมือนน้ำที่มีออกซิเจน มันจะเหมือนน้ำที่ไม่เสีย

จิตใจเราไม่เสีย จิตใจเราไม่ขุ่นมัว ถ้ามันขุ่นมัว มันไม่ยอมทำ ก็ฝืนมันทำ เวลาหลวงตาท่านจิตเสื่อมเห็นไหม พุทโธๆๆ ๓ วันเอาไว้กับจิตนะ อกมันจะระเบิด มันจะไม่ยอมทำ ถ้าเป็นกิเลสมันจะต่อต้าน มันจะทำให้เราไม่ยอมทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับมันเลย เอาสิ่งนี้เป็นตัวหลัก เกาะไว้ จะเป็นจะตายก็ทำ จะเป็นอย่างไรก็ทำ พอมันผ่านวิกฤติอันนี้ไปนะ จะเห็นคุณค่าของข้อวัตรมาก โอ้โฮ ขณะที่มันเฉา มันทุกข์ มันไม่เอานะ มันมีความกดถ่วงใจขนาดไหน

ขณะที่ใช้ข้อวัตร ออกซิเจนนี้ต่อชีวิตเรามา พอพ้นจากนั้นมา มันโล่ง มันสบายใจ ถ้าตอนนั้นเรายอมจำนนไป เราก็เสียคน แต่พอเราใช้ข้อวัตรผ่านพ้นมาเห็นไหม มันมีการกระทำ ในการดำรงชีวิตของเรา มันจะมีเจ็บไข้ได้ป่วย มันจะมีความทุกข์ความจน มันเป็นกาลอยู่ตลอดเวลา จิตก็เหมือนกัน เดี๋ยวมันก็เหี่ยวเฉา เดี๋ยวมันก็รื่นเริง เดี๋ยวมันทุกข์ยาก เดี๋ยวมันก็อะไร อาศัยอย่างนี้ในการดำรงชีวิตนะ กรรมฐานจะรักษาอย่างนี้

ครูบาอาจารย์ท่านฝึกฝนนะ ถึงไม่มีครูอาจารย์ก็พยายามเอาธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง แล้วฝึกฝนสิ่งนี้มา แล้วฝากไว้กับเราเห็นไหม ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสังฆะก็ดูแลกัน ช่วยเหลือกัน จุนเจือกัน เพื่อชีวิตของนักรบไง เราเป็นนักรบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ พระเจ้าพิมพิสารนึกว่าโดนปฏิวัติมา ก็ให้กองทัพครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ จะออกแสวงหาโมกขธรรมจริงๆ ถ้าอย่างนั้นสำเร็จแล้ว ถ้าค้นเจอแล้วให้มาสอนด้วย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์กับพระเจ้าพิมพิสาร จนเป็นพระโสดาบันขึ้นมา พวกเรานี้เป็นนักรบ ขณะนี้เราจะรบกับกิเลส โลกเขาจะรู้หรือไม่รู้ก็เรื่องของเขา เดี๋ยวนี้สังคมโลกเขาเป็นพิธีกรรมเฉยๆ นั่นเรื่องของเขา อย่าไปเอามาใส่ใจ ถ้าเอาสิ่งนั้นมาใส่ใจเรา เราจะอ่อนแอไปกับเขา ทำไมเขาสุขสบาย เขาอยู่กันอย่างนั้น ทำไมเราต้องมาทุกข์มายาก สังคมโลกเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เพราะนั่นไม่ใช่องค์ศาสดาสอน เรื่องของคนโง่ คนโง่ที่พอใจกับสิ่งที่ต่ำต้อย

แต่เราเป็นคนฉลาด เราเป็นคนที่จะเอาคุณค่าของเราขึ้นมา เราต้องเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันจะทุกข์จนเข็ญใจในสังคมของเรา เราต้องขวนขวาย รักษาชีวิต รักษาความเป็นไปของเรา รักษาชีวิตของเรา แล้วรักษาข้อวัตรปฏิบัติ อย่าให้ใจเศร้าหมอง อย่าให้ใจขุ่นมัว แล้วเราจะมีความเป็นไป เอวัง